bloggang.com mainmenu search
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2555 เวลา 00:00 น.

เพราะการเสียชีวิตของ “หยิน-ภาวนา ชนะจิต” ที่ตกบ่อน้ำตายภายในบ้านพักของเธอ ยังเป็นปมปริศนา..และมีเงื่อนงำ ญาติพี่น้องของหยิน-ภาวนา ต่างก็ลงความเห็นว่า นี่ไม่ใช่การตายแบบปกติ แต่จะเป็นแบบไหน ก็เป็นเรื่องของการพิสูจน์จากแพทย์นิติเวช

และเพื่อเป็นการไว้อาลัย... “หยิน-ภาวนา ชนะจิต” อดีตนางเอกภาพยนตร์ชื่อดัง เจ้าของฉายา “ไข่มุกเอเชีย” เราจะมาย้อนเรื่องราวในชีวิตของเธออีกครั้ง ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว วงการภาพยนตร์ไทยในยุคนั้นมีดาวจรัสแสงเพียงไม่กี่ดวง ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่มีจนล้นวงการฯ “หยิน-ภาวนา” เป็นหนึ่งในดาวจรัสแสงยุคนั้น เริ่มเข้าสู่วงการด้วยการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก “แสงสูรย์” ในปี พ.ศ. 2503 จากการชักนำของ “ศิรินทิพย์ ศิริวรรณ” แต่การที่จะทำให้คนดูจดจำชื่อเธอได้ง่าย “ประทีป โกมลภิส” ผู้กำกับภาพยนตร์ “แสงสูรย์” จึงตั้งชื่อด้านการแสดงให้เธอ จากชื่อเดิม “อรัญญาภรณ์ เหล่าแสงทอง” มาเป็น “ภาวนา ชนะจิต”

ตลอดชีวิตของการเป็นนางเอกภาพยนตร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2503–2523 “หยิน-ภาวนา” มีผลงานภาพยนตร์กว่า 200 เรื่อง แสดงคู่กับพระเอกชื่อดังในยุคนั้นหลายคน อาทิ มิตร ชัยบัญชา,สมบัติ เมทะนี, ลือชัย นฤนาท, อุเทน บุญยงค์, ยอดชาย เมฆสุวรรณ,สรพงศ์ ชาตรี และได้มีโอกาสแสดงหนังฮ่องกงหลายเรื่อง เพราะพูดภาษากวางตุ้งได้ดี นักแสดงหลายคนที่ได้ร่วมงานกับ “หยิน” จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในการทำงาน และตรงต่อเวลา ก่อนจะเข้าฉากทุกครั้ง “หยิน” จะต้องมาเตี๊ยมบทกับพระเอก หรือนักแสดงคนนั้น ๆ ที่จะต้องเข้าฉากด้วยกัน เพื่อเตรียมความพร้อม เวลาถ่ายทำจริงจะได้ไม่ติดขัด และไม่ทำให้กองถ่ายเสียเวลา นี่คือสิ่งที่น่าชื่นชม

และเป็นที่รู้กันในหมู่นักแสดงยุคนั้นว่า เธอจะไม่เล่นบทเลิฟซีน จนครั้งหนึ่งเกิดเรื่องขึ้นกับ “มิตร ชัยบัญชา” พระเอกยอดนิยมในยุคสมัยนั้น ถึงขนาด “มิตร” ประกาศตัดเชือกไม่ขอร่วมงานกับ “หยิน” สาเหตุจากมีบทจูบ ขณะเข้าฉากพระ-นาง หยินเบี่ยงหลบหน้าแบบรังเกียจ “มิตร” ก็เลยโมโหถือว่า รังเกียจกันมากไป ก็เลยประกาศว่า ถ้ามี “มิตร” ต้องไม่มี “ภาวนา” แม้ในเวลาต่อมา “หยิน” ได้ไปขอโทษขอโพยแล้ว มิตรก็ไม่ยอม

ทำให้ในช่วงนั้นเอง “หยิน” ไม่มีงานแสดงภาพยนตร์ เพราะไม่มีคนจ้าง (ยุคนั้น มิตร ดังสุด ๆ) จนกระทั่ง “พันคำ” อดีตผู้สร้างและกำกับหนัง ได้เรียกพระเอก “ยอดชาย เมฆสุวรรณ” ไปคุยว่า จะทำหนังเรื่อง “พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ” แล้วให้เอาบทไปอ่าน เสร็จสรรพก็ถามว่า นางเอกควรจะเป็นใคร ระหว่าง “ภาวนา ชนะจิต” กับ “สุภัค ลิขิตกุล” พระเอกยอดชายตอบทันทีว่า “ภาวนา ชนะจิต เท่านั้น” และเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย คนดูแห่กันไปดูแน่นโรง ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ส่งผลให้ “ยอดชาย เมฆสุวรรณ” กับ “ภาวนา ชนะจิต” กลายเป็นดาราคู่ขวัญของประชาชน ทำให้มีงานหนังแสดงคู่กันตามมาอีก 40 เรื่อง

ชื่อเสียงกำลังโด่งดัง งานก็เข้ามาไม่ขาดสาย ในแต่ละวัน “หยิน” จะต้องเดินทางไปถ่ายหนังหลายแห่ง ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เธอก็ยิ้มตลอด เพราะมีความสุขและสนุกกับการทำงาน ขนาดเล่นหนังได้ค่าตัวบ้างไม่ได้บ้าง เธอก็ไม่เคยปริปากบ่น ตรงกันข้ามค่าตัวที่ได้จากการถ่ายหนัง เรื่องหนึ่งประมาณ 4-5 หมื่นบาท เธอเก็บหอมรอมริบ เพราะรู้คุณค่าของเงิน แล้วก็เอาเงินที่เก็บไว้ไปแอบซื้อที่ดิน เรียกว่าได้ค่าตัวมาปุ๊บ ก็รีบเอาไปซื้อที่ดิน จนทำให้ ณ วันนี้เธอกลายเป็นเศรษฐีที่ดินแบบเงียบ ๆ เพราะไม่ค่อยมีใครรู้

“หยิน” เล่นหนังมาจนอายุ 37 ปี รู้สึกว่าตัวเองเริ่มอายุมากขึ้น ประกอบกับผู้สร้างหนังหลายรายก็ติดต่อให้เล่นบทแม่ หรือไม่ก็บทพี่, บทน้า อะไรอย่างนั้น แต่เธอไม่อยากเล่น เพราะอยากให้คนดูหรือแฟนหนัง นึกถึงภาวนาหน้าตาสดใส น่ารัก เธอจึงหยุดงานแสดงหนังไว้ในปี พ.ศ. 2523 ทั้ง ๆ ที่ยังมีหนังเล่นอีกหลายเรื่อง

พอโบกมือลางานแสดง “หยิน” ก็หันมาเปิดร้านอาหารสุกี้ แถวจรัญสนิทวงศ์ โดยมีคนพิเศษที่รู้ใจในตอนนั้นคือ “อ.ไพจิตร ศุภวารี” อดีตผู้สร้างหนังและนักปั้นดารา ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน 12 ปี สุดท้ายมีอันต้องเลิกรากัน ด้วยเหตุผลลึก ๆ ที่ไม่อาจบอกใครได้ ที่รู้ ๆ “อ.ไพจิตร” เป็นฝ่ายหิ้วกระเป๋าออกจากบ้าน แต่ทั้งคู่ก็ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน เจอกันในงานไหนก็ส่งยิ้มให้กัน เลิกกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันได้..จริงมั้ย..

ใครที่ใกล้ชิด “หยิน” จะรู้ว่า เป็นผู้หญิงเก่ง, ฉลาด เสียอย่างเป็นคนใจร้อน คิดอะไรก็พูดทันที ไม่ได้ยั้งคิด แต่เป็นคนดีมีน้ำใจ และเป็นคนขี้สงสาร, ใจบุญ ถ้าขับรถอยู่แล้วเห็นแม่ค้าขายของ จะสงสารเขา รีบจอดรถแล้วลงไปเหมาของทั้งหมด เพื่อเอาไปแจกคนอื่น อีกอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัว ทุกครั้งที่ “หยิน” เจออะไรมา พอถึงบ้านจะเขียนบันทึกในสมุดส่วนตัว อาทิ วันนี้ไปไหนเจอคนนู้นคนนี้ หรือเวลาไปซื้อของที่ตลาด เจอของแพงก็จะบ่น ๆ มันชักจะแพงแล้วนะ บางช่วงก็เขียนรำพึงถึงชีวิตตอนเด็ก ถ้าพ่อไม่เอาข้าวมาส่งก็ไม่ได้กิน

จำได้ว่าเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา เคยมีผู้ใหญ่ในวงการฯที่ “หยิน” นับถือ และเห็นเธอทำงานมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ ที่หันมาจับธุรกิจที่ดิน ซื้อมาขายไปจนร่ำรวยมหาศาล มีทรัพย์สินทั้งหมดรวม ๆ แล้ว 2,000 ล้านบาท ผู้ใหญ่ท่านนั้นถาม “หยิน”ว่า จะทำไปทำไมมากมาย ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ถึงเวลาสัปเหร่อก็เอาเงินใส่ปาก เธอตอบว่า เพราะเคยจน เคยอดข้าวจนเป็นลม เลยต้องหาตุนไว้ ถ้าแก่แล้วใครจะเลี้ยงดู

นี่คือผู้หญิงสู้ชีวิต ..ยอมเหนื่อยแสนเหนื่อย..ให้ได้มาเพื่อสิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ

ขอให้วิญญาณของ “หยิน-ภาวนา ชนะจิต” จงไปสู่สุคติ..

ปรางค์ ปิ๊กมี่/รายงาน

//www.dailynews.co.th/entertainment/154763

Create Date :13 กันยายน 2555 Last Update :13 กันยายน 2555 12:12:29 น. Counter : 2096 Pageviews. Comments :0