เรื่อง - ภาพ : นาธัส แสงสุริยะ
Tuesday, 30 October, 2012 0:03 AM หลังมีโอกาสได้ทดลองขับรุ่น
Double Cab 2.2 Hi-rider Wildtrak ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทีมงาน
มอเตอร์ทริเวีย ก็ได้สัมผัสรุ่นสูงสุดของปิกอัพ
เรนเจอร์ กับรุ่นย่อย
Double Cab 3.2 Wildtrak ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ราคา 1.099 ล้านบาท คุ้มหรือไม่ที่จะจ่ายเงินเพิ่ม เครื่องยนต์ 5 สูบ 200 แรงม้าจะกินน้ำมันดุหรือไม่ อัตราเร่งเป็นอย่างไร คอลัมน์นี้มีคำตอบครับ
รูปลักษณ์ยังไงก็ Wildtrak ในรุ่นตกแต่งพิเศษ
Wildtrak ของเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,200 ซีซี และ 5 สูบ 3,200 ซีซี มีความแตกต่างกันเพียงไม่กี่จุด เช่น แถบพลาสติกบริเวณบานพับประตู ที่ระบุรุ่น 3.2, ขยับขนาดล้อแม็กเป็น 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R18 และกล้องมองหลังติดตั้งที่โลโก้
ฟอร์ด บนฝากระบะท้าย มิติตัวถังมีความยาว 5,359 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,815 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,220 มิลลิเมตร
เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ภายนอก ห้องโดยสารของรถรุ่นนี้ได้รับการตกแต่งในสไตล์
Wildtrak เหมือนรุ่น 2.2 ความแตกต่างหลักๆ อยู่ที่สวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศของรุ่น 3.2 ที่เป็นแบบดิจิตอล ด้านข้างของคอนโซลกลางเพิ่มสวิตช์เปิด-ปิดระบบช่วยการทรงตัว, ระบบบล็อกเฟืองท้าย Real Locking Differential และระบบช่วยขับลงเนิน ข้างคอนโซลเกียร์มีสวิตช์หมุนเลือกระบบขับเคลื่อน 2H, 4H และ 4L
เบาะผู้ขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง พวงมาลัยเพาเวอร์ปรับสูง-ต่ำได้ แปลกใจตรงก้านบนคอพวงมาลัยที่กลับไปเป็นแบบยุโรป ฝั่งซ้ายควบคุมไฟเลี้ยวและไฟหน้า ฝั่งขวาควบคุมที่ปัดน้ำฝน ชอบใจเป็นพิเศษกับระบบกล้องมองหลังมุมกว้าง ถ่ายทอดภาพมาบนกระจกส่องหลัง มีเส้นกราฟิกกะระยะพร้อมเซ็นเซอร์กะระยะ แถมด้วยภาพกราฟิกบนจอที่คอนโซลกลางอีกด้วย ได้ประโยชน์มากกับรถคันสูงใหญ่ที่มีจุดบอดด้านหลังค่อนข้างมาก เครื่องยนต์เร่งทันใจ กินไม่ดุ (มาก) รุ่นท๊อปของเครื่องยนต์ 2,200 ซีซี Double Cab 2.2L 4x4 Wildtrak ราคา 999,000 บาท ได้ส่วนลดภาษีรถคันแรก 95,000 บาท เหลือ 904,000 บาท ส่วนรุ่นที่ทดลองขับครั้งนี้ ราคา 1,099,000 บาท แพงกว่า 195,000 บาท แม้จะเป็นจำนวนเงินไม่น้อย แต่ก็นับว่าคุ้มเมื่อเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ที่ได้เพิ่มประมาณ 13 รายการ สิ่งที่เป็นตัวแปรลำดับต่อไปในการตัดสินใจซื้อ นอกจากค่าภาษีประจำปีของรุ่น 3.2 ที่แพงกว่าแล้วก็คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่หลายคนหวั่นใจกับตัวเลข 5 สูบ 3,200 ซีซี และ 200 แรงม้า เริ่มทดสอบอัตราสิ้นเปลืองตั้งแต่รับรถช่วงบ่ายของวันเสาร์ โดยอ้างอิงตัวเลขจากชุดมาตรวัดเป็นหลัก เซต 0 ออกจากจุดรับรถที่สุขุมวิท 22 ขับไปทางพระราม 4 เพื่อขึ้นทางด่วนท่าเรือ มาลงที่ด่านถนนงามวงศ์วานต่อเนื่องถนนรัตนาธิเบศร์ สภาพการจราจรปานกลาง ไม่โล่งมากแต่ก็ไม่ติดหนึบ ระยะทาง 28.7 กิโลเมตร ความเร็วเฉลี่ย 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลือง 11.11 กิโลเมตรต่อลิตร
วันรุ่งขึ้นขับไปถ่ายรูปต่างจังหวัด ออกจากบ้านขึ้นทางด่วนเพื่อเลี่ยงรถติด การจราจรตลอดเส้นทางค่อนข้างโล่ง ใช้ความเร็วระหว่าง 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีเร่งไปถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นบางครั้ง ระยะทางเพิ่มขึ้นเป็น 168.4 กิโลเมตร ความเร็วเฉลี่ยเพิ่มเป็น 54 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองลดลงเหลือ 10.4 กิโลเมตรต่อลิตร
ระหว่างถ่ายรูปมีการสตาร์ตเครื่องยนต์เพื่อขยับรถบ่อยครั้ง และคิดว่าต้องนำรถไปทดสอบอัตราสิ้นเปลืองอย่างจริงจังอยู่แล้ว เมื่อถ่ายรูปเสร็จจึงไม่ได้สนใจอัตราสิ้นเปลืองนัก จำได้คร่าวๆ ว่าเห็นตัวเลข 10.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ
9.6 กิโลเมตรต่อลิตร ขับออกจากจุดถ่ายรูปช่วงพลบค่ำ ขับตามสภาพการจราจรด้วยความเร็ว 70-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ย้อนเส้นทางเดิมและขึ้นทางด่วนกลับบ้าน ได้อัตราสิ้นเปลืองที่ทำให้แปลกใจ 7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ
14.28 กิโลเมตรต่อลิตร ที่ได้ตัวเลขค่อนข้างดีเพราะใช้ความเร็วไม่สูง และไม่เปลี่ยนความเร็วบ่อยๆ
ช่วงดึกออกไปทดสอบอัตราสิ้นเปลืองอย่างเป็นทางการ โดยเซต 0 ใหม่ ขับขึ้นทางด่วนและเมื่อทางโล่งก็เร่งความเร็วไปถึง 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นอู้งานด้วยการใช้ครูสคอนโทรล ข้อดีของเครื่องยนต์ดีเซลคือ ไม่ค่อยอ่อนไหวกับสภาพเส้นทางขึ้นเนิน ลองปล่อยให้รถไต่ขึ้นทางที่ค่อนข้างชันด้วยครูสคอนโทรล เกียร์ก็ไม่เปลี่ยนลงต่ำให้แบบรถเบนซิน จึงช่วยให้ประหยัดเพิ่มขึ้นอีกนิด เมื่อได้ขับด้วยความเร็วคงที่ อัตราสิ้นเปลืองลดลงค่อนข้างเร็วในช่วงแรก และเริ่มนิ่งเมื่อผ่าน 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ก่อนหมดระยะทางที่ใช้ในการทดสอบ ได้อัตราสิ้นเปลือง 8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือประมาณ
12.19 กิโลเมตรต่อลิตร ถ้าเป็นการขับใช้งานทั่วไป ใช้ความเร็วตามกฎหมายและไม่บรรทุกหนักมาก เฉลี่ยนอกเมืองคาดหวังได้
10-11 กิโลเมตรต่อลิตร ความเร็ว (กม./ชม.) รอบต่อนาที 80 1,300 90 1,500 100 1,700 110 1,900 120 2,000 130 2,200 140 2,400 150 2,600 160 2,800
ความเร็วบนมาตรวัด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนเครื่องวัดอัตราเร่งแสดง 97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วสูงสุดบนมาตรวัดประมาณ 181-182 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่รอบเครื่องยนต์ 3,100-3,200 รอบต่อนาที ไม่แน่ใจว่าถูกจำกัดความเร็วไว้เพื่อความปลอดภัยหรือไม่ เพราะดูจากกำลังของเครื่องยนต์แล้วน่าจะไปต่อได้อีกพอสมควร
สังเกตว่าอัตราเร่งของรุ่น 3.2 จะค่อนข้างต่อเนื่องแม้ในความเร็วปลายๆ เปรียบเทียบกับรุ่น 2.2 ที่เมื่อถึงความเร็วสูงๆ ต้องใช้ทั้งเวลาและระยะทางมากในการไต่ความเร็ว Ford Ranger Double Cab Wildtrak 6AT 3.2 / 2.2 ความเร็ว (กม./ชม.) เวลา (วินาที) ระยะทาง (เมตร) 10 0.80 / 1.17 1.27 / 1.68 20 1.59 / 1.99 4.47 / 4.99 30 2.22 / 2.67 8.92 / 9.78 40 3.08 / 3.62 17.26 / 18.87 50 3.91 / 4.64 27.61 / 31.72 60 5.07 / 5.91 45.52 / 51.21 70 6.25 / 7.26 66.77 / 75.68 80 7.50 / 8.81 92.89 / 107.94 90 9.04 / 10.58 129.15 / 149.74 100 11.11 / 12.83 183.65 / 209.30 110 13.05 / 15.28 240.48 / 280.90 120 15.56 / 18.20 320.88 / 374.23 130 18.67 / 22.03 428.68 / 507.40 140 22.05 / 26.72 555.47 / 683.56 150 26.49 / 33.07 734.76 / 939.52 160 33.17 / 42.60 1022.82 / 1350.41 170 41.87 / 72.73 1420.88 / 2743.33 ระยะทาง (เมตร) เวลา (วินาที) ความเร็ว (กม./ชม.) 0-100 07.8 / 08.5 82.2 / 77.5 0-200 11.7 / 12.6 103.2 / 98.5 0-402 17.9 / 19.1 127.2 / 122.3 0-1000 32.7 / 34.7 159.7 / 151.3 ความเร็วสูงสุด 177.5 / 172.0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เกียร์โหมด D และ Ds เมื่อเหยียบคันเร่งสุดจะเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงที่ประมาณ 3,700-3,800 รอบต่อนาที ต่างกันที่ถ้าเหยียบคันเร่งไม่สุด หรือเหยียบแล้วยก เกียร์ Ds จะยังไม่เปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงให้ เมื่อดึงคันเกียร์มาทางขวาเพื่อใช้โหมด +/- จะไม่สามารถคิ๊กดาวน์ได้ เมื่อเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูงแล้วลดความเร็วลงมากๆ เกียร์จะเปลี่ยนลงให้เอง และถ้าความเร็วยังไม่เหมาะสม ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนขึ้นเกียร์สูงได้ โดยระบบจะเตือนด้วยตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์กระพริบ ลากรอบได้สูงสุดประมาณ 4,700 - 4,800 รอบต่อนาที ระบบจะไม่ตัดรอบจึงไม่มีอาการสะดุด แต่รอบจะคาอยู่ตรงนั้น ซึ่งในการใช้งานทั่วไปไม่มีความจำเป็นต้องลากรอบสูงขนาดนั้น แค่เปลี่ยนเกียร์ที่ประมาณ 2,500 รอบต่อนาที ก็ให้อัตราเร่งที่ทันใจมากแล้ว เครื่องยนต์ทำงานนุ่มนวล แทบไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนบริเวณพวงมาลัย, หัวเกียร์, พื้นรถ และเบาะนั่ง เสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างเงียบเมื่อเข้ามานั่งในห้องโดยสาร
ช่วงล่างไม่แตกต่าง ยังคงเป็นจุดเด่นของรถรุ่นนี้ กับช่วงล่างที่ให้ความนุ่มนวล ไม่ดีดหรือกระแทกมากนัก ให้สัมผัสที่ละเอียดเกินประเภทรถ การขับใช้งานทั่วไปจึงให้ความสบายพอตัว ขับยาวๆ ได้โดยไม่เหนื่อย และยังคงความหนักแน่นตามสไตล์รถ สามารถลุยได้อย่างมั่นคงและมั่นใจ มาพร้อมออฟชั่นเสริมอย่างระบบล็อกเฟืองท้าย ที่น่าจะถูกใจชาวออฟโรดพันธุ์แท้
ฟอร์ด เรนเจอร์ Double Cab 3.2 Wildtrak แต่งสวยดุจากโรงงาน เครื่องยนต์แรงเหลือเฟือ แต่กินไม่ดุอย่างที่คิด ช่วงล่างนุ่มหนึบหนักแน่น ออฟชั่นครบครันสมราคาเกินล้านบาท ถ้าเพิ่มความเชื่อมั่นด้านบริการหลังการขายได้อีกอย่าง น่าจะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
• ขอบคุณ: บริษัท ฟอร์ด ประเทศไทย จำกัด เอื้อเฟื้อรถยนต์ในการทดสอบ Specification: Ford Ranger Double Cab 3.2 Wildtrak แบบตัวถัง ปิกอัพ 4 ประตู ยาว x กว้าง x สูง 5,359 x 1,850 x 1,815 มิลลิเมตร ฐานล้อ 3,200 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,590/1,590 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 232 มิลลิเมตร แบบเครื่องยนต์ ดีเซลคอมมอนเรลเทอร์โบแปรผัน 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 3,198 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 89.9 x 100.7 มิลลิเมตร อัตราส่วนการอัด 15.7:1 กำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS) ที่ 3,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 47.89 กก.-ม. ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลัง อัตโนมัติ 6 จังหวะ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-Time ระบบบังคับเลี้ยว แร็กแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง ระบบกันสะเทือนหลัง คานแข็ง แหนบซ้อน ระบบเบรกหน้า/หลัง ดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อน/ดรัม พร้อมเอบีเอส และอีบีดี ผู้จำหน่าย บริษัท ฟอร์ด ประเทศไทย จำกัด โทรศัพท์ Call Center 02-686-5899 เวบไซต์
www.ford.co.th //www.motortrivia.com/