bloggang.com mainmenu search

Beauty truth

เชื่อว่าสาวๆ หรือหนุ่มๆ หลายๆ คนเป็นต้องกลัวความแก่เข้ามาครอบงำเป็นแน่ จึงพยายามเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ หรือแม้แต่ตัดสินใจเข้าคลินิกเพื่ออัพความอ่อนเยาว์ให้กลับมา แต่คุณรู้หรือไม่ว่า การทำหัตถการ เช่น IPL, Filler, Botulinum Toxin หรืออื่นๆ ซึ่งในแต่ละแบบนั้นจะเหมาะกับแต่ละชั้นของผิวหนัง หากเลือกไม่ถูกอาจทำให้เสียตังเปล่าได้



ในการซ่อมคนไข้ในแต่ละคนนั้น ปัจจัยที่เราจำเป็นต้องดู 2 อย่างคือ อย่างแรกเรื่องของอายุ จะสังเกตได้ง่ายๆ ว่าคนเราในช่วงอายุ 20 ปีแรกเป็นช่วงอายุที่สวยที่สุด พออายุ 30 ปี จะเริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ รูขุมขนกว้างขึ้น และพอเข้าอายุ 40 ปี กระ ฝ้า ต่อมไขมันเริ่มตกตะกอน หน้าเริ่มห้อย คอลลาเจนเริ่มหาย จนกระทั่งอายุ 50-70 ปี ทั้งคอลลาเจนทั้งไขมันฝ่อหมด และปัจจัยที่สองก็คือจะเป็นเรื่องของสีผิว เพราะแต่ละคนจะเลือกใช้เครื่องมือและวิธีการที่ไม่เหมือนกัน

ในการคืนความอ่อนเยาว์ของผิว แพทย์จะมองใบหน้าเป็นระดับชั้นความลึก เรียกว่า การคืนความอ่อนเยาว์แบบ 4D ซึ่งในแต่ละชั้นผิวหนังของเราจะไล่จากความลึกชั้น D1-4 สามารถอธิบายได้คือ D1 เป็นชั้นบนสุดเราเรียกว่า Epidermis ส่วน D2 เรียกว่า Dermis เป็นชั้นผิวหนังแท้ ต่อมาเป็น D3 เป็นชั้นของไขมัน และ D4 คือกล้ามเนื้อและกระดูก เพราะฉะนั้นเมื่อแพทย์จะทำการซ่อมใบหน้าให้กลับมาอ่อนเยาว์จึงจำเป็นต้องซ่อมทั้ง 4 ชั้น ดังนี้


D1 : เมื่อคนเราอายุมากขึ้นจะเห็นได้ชัดจากในชั้นบนสุดเราเรียกว่า Epidermis จะค่อยๆ เริ่มมี กระ จุดด่างดำ มีก้อนตกตะกอน หรือไขมันตกตะกอน ที่เราเรียกกันว่า Sebaceous Gland Hyperplasia (SGH) ซึ่งการรักษาในจุดนี้จะใช้ เลเซอร์ หรือ IPL หรือใช้แสงในการรักษา เพราะแสงเหล่านี้จะเป็นแสงที่ลงได้ไม่ลึกนัก ประมาณ 1-2 มิลลิเมตรของผิวหนังเรา ถ้ายิงไม่ดีจะร้อนและไหม้ผิวได้

D2 : คือชั้นหนังแท้ เรียกว่า Dermis ส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาคอลลาเจนบนใบหน้าลดน้อยลง ดังนั้นวิธีที่จะสร้างคอลลาเจนให้คนไข้ที่มีปัญหาเหล่านี้ก็สามารถทำได้โดยเครื่องหลายชนิด เช่น RF (Radio Frequency )เครื่องนี้จะสามารถลงไปในชั้นผิวหนังได้ลึกขึ้นโดยประมาณ 3 มิลลิเมตร ตัวนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ หรือในบางกรณีที่เมื่ออายุมาขึ้นผิวหนังบางลงจนทำให้เห็นเป็นเส้นเลือดโผล่ขึ้นมา สังเกตได้ง่ายๆ เช่น บางคนที่มีผิวขาวแต่ใบหน้าดูหมองคล้ำหรือหน้าออกเป็นโทนแดง นั่นเป็นเพราะเส้นเลือดโผล่ขึ้นมาให้เห็นเยอะขึ้น กรณีนี้จะใช้วิธีการรักษาด้วยเครื่อง IPL หรือเลเซอร์บางชนิด ที่สามารถยิงเน้นเส้นเลือด จะทำให้เส้นเลือดหดตัว ก็จะช่วยให้หน้าขาวขึ้นและใสขึ้นนั่นเอง

D3 : ลงมาในชั้นไขมัน ซึ่งชั้นนี้จะมีความหนาของไขมันทำให้ผิวดูอิ่ม แต่เมื่อพออายุมากขึ้นไขมันนี้จะฝ่อลง โดยประมาณเริ่มตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป จะเริ่มมีร่องและริ้วรอยบนใบหน้าไม่ว่าจะเป็น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา หรือมุมปากตก เราเรียกว่า Facial Lipoatrophy (FLA) ซึ่งวิธีรักษาอันดับแรกเลยคือ Filler หรือสารเติมเต็มต่างๆ ที่ใช้ปัจจุบันก็จะเป็นสาร Hyaluronic acid ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องในประเทศไทย สำหรับการเติมฟิลเลอร์นั้นจะช่วยทำให้หน้าดูเต็มมากยิ่งขึ้นในรายที่อายุเยอะแล้ว แต่ในรายที่อายุน้อยก็สามารถเติมฟิลเลอร์บนใบหน้าเพื่อจัดรูปหน้าใหม่ได้ เราเรียกว่า Facial Design นอกจากนี้ยังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่สามารถใช้ได้ในชั้นไขมันที่มีพังผืดหนาเราเรียกว่าชั้นนี้ว่า SMAS โดยใช้ Ulthera เครื่องมือนี้จะสามารถลงไปเผาผลาญไขมันในชั้นนี้โดยการทำให้เกิดความร้อนและสามารถยกหน้าขึ้นมาได้ดูอิ่มและเต่งตึงได้อีกครั้ง ส่วนอีกวิธีที่สามารถเข้ามาช่วยในชั้นไขมันเพื่อคืนความอ่อนเยาว์ให้ได้และกำลังเป็นที่นิยมนั่นก็คือ การใส่ไหมยกหน้า ถือเป็นอีกหนึ่งอย่างที่แพทย์เองนำเข้ามาช่วย เส้นเอ็นไหมนี้มีที่มาจากทั้งอเมริกา ฝรังเศสและเกาหลี ขึ้นกับลักษณะไหมที่ต่างกัน

D4 : คือชั้นของกล้ามเนื้อและกระดูก ในชั้นกล้ามเนื้อสิ่งที่เหมาะที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Botulinum Toxin เป็นสารที่จะเข้าไปปรับให้รอยร่องลึกหายไป ยกตัวอย่างเช่น คนไข้ที่มีร่องหน้าผากลึก เราจะใช้โบทูลินัม ท็อกซินฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อลดการทำงานลง เรียบเนียนขึ้น ร่องหน้าผากหาย ตีนกาหาย และคุณสมบัติของโบทูลินัม ท็อกซินเอง ยังสามารถเหลากรามได้อีกด้วย ส่วนของกระดูกนั้นในบางครั้งเราจะเติม Filler โดยการขูดบริเวณหน้ากระดูกแล้วเติมฟิลเลอร์ลงไปขังในบริเวณนั้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสเต็มเซลล์ใหม่ เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่งมีรายงานล่าสุดจากแพทย์ชาวญี่ปุ่น ดร.โคทาโร โยชิมูระ (Kotaro Yoshimura) จากมหาวิทยาลัยโตเกียว (Tokyo University) นั่นเอง


แพทย์แนะนำ

การดูแลรักษาผิวหนังให้ดูอ่อนเยาว์ต้องค่อยเป็นค่อยไป ควรต้องให้มีการพักผิวบ้าง การเลือกใช้ผลิตภัณน์ต่างๆคนไข้ควรเช็คให้ดีก่อนว่าเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้นได้มีการขึ้นทะเบียนถูกต้องหรือไม่ สามารถตรวจสอบกับแพทย์ได้เลยทันที ส่วนโบทูนินัม ท็อกซิน ในปัจจุบันก็มีทั้งหมด 4 ยี่ห้อที่เข้ามาในประเทศไทยแล้วขึ้นทะเบียนแล้วเช่นกัน ซึ่งเป็นยี่ห้อที่นำเข้าจากประเทศอเมริกา อังกฤษ เกาหลี 2 ยี่ห้อ เท่านั้นที่ขึ้นทะเบียนและปลอดภัย และที่สำคัญคนไข้เองควรเลือกทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นๆ โดยเฉพาะ ส่วนตัวแพทย์รุ่นใหม่เอง ก็จำเป็นต้องคุยกับคนไข้ให้ดี ถึงข้อดีข้อเสียและพยายามหาความรู้ใหม่อยู่เรื่อยๆ เรียนรู้ได้ตลอดไม่มีจบครับ

เรื่องโดย : นพ.ไพศาล รัมณีย์ธร
แพทย์ประจำ ปิ่นเกล้า คลินิก
Profile:
- จบปริญญาตรี แพทย์ศาสตร์บัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
- ศึกษาต่อด้าน ศัลยกรรมเลเซอร์เสริมสวย (Laser Cosmetic Surgery) ที่มหาวิทยาลัย Tokyo Woman Medical University ด้วยทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
- ร่วมประชุม และอบรมพิเศษที่สหรัฐอเมริกา เช่น การดูดไขมัน / รักษา เส้นเลือดขอด / การใช้ เลเซอร์ รักษา สิว ฝ้า และ กระ
- ปัจจุบันเป็นสมาชิกของ American Academy of Cosmetic Surgery



สนับสนุนเนื้อหา www.appeal-magazine.com
Create Date :11 กรกฎาคม 2556 Last Update :11 กรกฎาคม 2556 7:54:48 น. Counter : 1506 Pageviews. Comments :0