bloggang.com mainmenu search
15 มีนาคม 2553 : ละครพื้นบ้านล้านนา "น้อยไจยา"

งานวันช้างไทย 13 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมา ได้ไปถ่ายภาพกิจกรรมดังกล่าวนี้ ที่ปางช้างแม่สา และได้นำเสนอภาพถ่ายกิจกรรมส่วนใหญ่ของงานไปแล้ว ยังเหลือภาพถ่ายในส่วนของการแสดงพื้นบ้านล้านนา เรื่อง "น้อยไจยา"
พอทราบข่าวและรายละเอียดกิจกรรม เรื่องการแสดงละครพื้นบ้านล้านนา ชวนให้อยากไปถ่ายภาพกิืจกรรมนี้ด้วย และก็ตามขึ้นดอยไปถ่ายภาพจนจบส่วนของการแสดงละคร




มาแนะนำตัวนักแสดงให้ชมกันก่อน จะได้ตามเนื้อเรื่องประกอบภาพถ่ายชุดนี้ได้
น้อยไชยา หรือ น้อยไจยา หรือ น้อยใจยา เป็นลูกของ “พญาสามล้านเชียงใหม่”

(จากที่อ่านข้อมูลใน web พบว่า มีคำที่ใช้เรียก น้อยใจยา เป็น "ไชยา" บ้าง "ไจยา" บ้าง และรวมถึง "ใจยา" อย่างที่หลายคนอาจจะคิดว่าควรเขียนแบบนี้
แต่เอาว่าในที่นี้ขอใช้คำว่า "ไจยา" ก็แล้วกัน)

ส่วนคำว่าน้อย ที่นำหน้าชื่อ "ไจยา" นั้น
คนเมืองมักจะเรียกคนที่บวชเป็นเณร แล้วเมื่อสึกออกมา จะใช้คำว่าน้อย นำ้หน้าชื่อ จึงใช้คำว่า "น้อยไจยา"

น้อยไจยาเป็นหนุ่มรูปงาม
(มีพี่เลี้ยง ชื่อ “ส่างตุ้ย”)



ส่างตุ้ย (พี่เลี้ยงของน้อยไจยา)






แว่นแก้ว เป็นลูกของคหบดีชื่อ“ท้าวไชลังกา” กับ “นางอุสาห์”
(มีพี่เลี้ยงชื่อ บัวเกี๋ยง)






บัวเกี๋ยง อยู่บ้านเงิน ถนนวัวลาย (ทำเครื่องเงิน) บัวเกี๋ยง เป็นพี่เลี้ยงของแว่นแก้ว






ส่างนันตา เป็นลูกของ “ตังแกส่างมุ้ย” เป็นพ่อค้าไม้ชาวไทยใหญ่ อยู่บ้านวังสิงห์คำ ถนนป่าตัน (มีพี่เลี้ยงชื่อ “ปู่ทวาก”)


เล่าเรื่องก่อนการแสดงนิดหนึ่งก่อน
น้อยไจยา รักชอบพอกับนางแว่นแก้ว ลูกสาวคหบดี
และแว่นแก้วได้มอบหัวใจรักให้แก่ น้อยไชยา เช่นเดียวกัน

ในขณะที่พ่อแม่ของแว่นแก้วได้หมั้นหมายจะให้แต่งงานกับ “ส่างนันตา”
แต่แว่นแก้ว ไม่ได้มีใจผูกสมัครรักกับส่างนันตาเลย



ภายในตลาด
















เนื้อเรื่องเริ่มจากนางแว่นแก้วมาเดินตลาดกับพี่เลี้ยง-บัวเกี๋ยง











ส่างนันตากับลูกน้องได้ออกมาเดินเที่ยวตลาดเช่นเดียวกัน




ลูกน้องคู่ใจของส่างนันตา ได้มาแจ้งข่าวว่า พบแว่นแก้ว-บัวเกี๋ยงเดินอยู่ในตลาด



ข่าวเรื่องการหลงรักชอบพอระหว่างน้อยไจยา กับ นางแว่นแก้ว เข้าหูส่างนันตา
ทำให้ส่างนันตาไม่พอใจเป็นอย่างมาก และเมื่อเจอกับนางแว่นแก้ว
จึงคิดเข้าไปสอบถามความจริงกับนางแว่นแก้วในเรื่องที่ได้ยินมา


ส่างนันตา เมื่อเจอกับ แว่นแก้ว ก็ตรงรี่ไปถามความจริงกับแว่นแก้วว่า
พ่อแม่ของเราทั้งสองคน ต่างได้หมั้นหมายเรากันไว้แล้ว
เหตุไฉนจึงมีเรื่องนางแว่นแก้วไปคบชู้สู่ชายกับน้อยไจยา






บัวเกี๋ยงได้ออกหน้า และโต้ตอบคารมกับส่างนันตา เพื่อปกป้องแว่นแก้ว





ส่างนันตาไ้ด้พูดกับบัวเกี๋ยงว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองอย่ามายุ่ง
แล้วผลักบัวเกี๋ยงล้มลง



แว่นแก้วตรงเข้าต่อว่าส่างนันตาที่ทำร้ายบัวเกี๋ยง


แว่นแก้วปฏิเสธเรื่องการหมั้นหมาย ว่าตนไม่รับรู้ จากนั้นเกิดการโต้เถียงและยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา



ในขณะเดียวกันนั้นเอง น้อยไจยา ได้มาเดินในตลาดและพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว จึงคิดไปห้ามปรามและเข้าไปช่วยแว่นแก้วและบัวเกี๋ยง



ส่างนันตาเมื่อเจอน้อยไจยา ที่คิดมาแย่งแว่นแก้วไปจากตัวเอง
จึงเข้าต่อว่าน้อยไจยา และห้ามไม่ให้มาข้องเกี่ยวกับแว่นแก้วเป็นอันขาด




น้อยไจยาคิดจะ่ช่วยแว่นแก้ว ไม่ให้ส่างนันตาดูถูกคิดทำร้ายแว่นแก้ว
จึงคิดเข้าไปช่วยแว่นแก้วออกมาจากพวกกลุ่มของส่างนันตา







ทำให้เกิดการประจันหน้ากันของทั้งสองกลุ่ม
และเกิดการต่อสู้กัน















และเป็นฝ่ายส่างนันตาที่เพลี่ยงพล้ำ ต่อสู้ไม่ได้ จนพ่ายแพ้

และพากันหลบหนีออกไปจากตลาด




ฝ่ายน้อยไจยา ได้มาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแว่นแก้ว
และเรื่องราวที่ตนได้ยินมาว่าแว่นแก้วได้หมั้นหมายกับส่างนันตาแล้ว

แว่นแก้วตอบไปว่า ส่างนันตามากล่าวหาดูถูกว่าตนเองคบชู้
ส่วนเรื่องการหมั้นหมายนั้น ยังเป็นเพียงทางฝ่ายพ่อแม่ไปตกลงกับทางตังแกส่างมุ้ย เอาไว้ ตนไม่ได้รับรู้ด้วย


บัวเกี๋ยง ซึ่งอยากให้ทั้งสองปรับความเข้าใจกันและกัน
เลยได้นัดหมายกับน้อยไจยา ว่า "ให้ไปรอพบกับแว่นแก้วที่น้ำตกห้วยแก้ว"
เพื่อปรับความเข้าใจกันและกัน



แต่การนัดหมายของน้อยไจยากับแว่นแก้ว
ไม่ได้รู้กันเพียง 3 คน เท่านั้น
พี่เลี้ยงของส่างนันตา ได้แอบลอบฟังการนัดหมายดังกล่าว และนำไปแจ้งข่าวการนัดหมายนี้ต่อส่างนันตา






ครั้นถึงวันนัดหมาย ที่น้ำตกห้วยแก้ว
น้อยไจยา ได้มารอพบแว่นแก้วตามนัดหมาย




ฝ่ายแว่นแก้ว และ บัวเกี๋ยง ต่างก็พากันออกไปพบน้อยไจยา ที่น้ำตกห้วยแก้ว ตามที่ได้นัดหมายไว้


ทั้งสองได้พบกันตามที่นัดหมาย




เข้าใจเองว่า จากเนื้อร้องและบทเพลง "น้อยใจยา"
ของศิลปิน: จรัล มโนเพ็ชร และ สุนทรี เวชานนท์
ที่ได้ขับร้องร่วมกันไว้ คงเป็นส่วนหนึ่งของการตัดพ้อต่อว่า
ที่น้อยไจยา และ แว่นแก้วได้มานัดพบกันที่น้ำตกห้วยแก้วแห่งนี้
เนื้อร้องมีใจความคำเปรียบเปรย น้อยใจ และตัดพ้อต่อว่ากันไปมา


ขอคัดลอกเนื้อเพลงมาประกอบไว้ตรงนี้

น้อยไจยา : จรัล มโนเพ็ชร และ สุนทรี เวชานนท์

...(..ชาย.)
ปวง ดอกไม้ เบ่งบานสลอน....
ฝูงภมร ภู่ผึ้งสอดไซร้
ดอกพิกุลของเปิ้นต้นใต้
ลมปัดไม้มาสู่บ้านตู๋
ฮู้แน่ซัดเข้าสอดสองหู
ว่าสีจมปู ถูกป้อมเก๊าเนิ้ง....
เก๊ามันต๋าย ป๋ายมันเซิ่ง
ลำกิ่งเนิ้ง ต๋ายโก่นตวยแนว
ดอกพิกุล ก่คือดอกแก้ว
ไปเป๋นหองเปิ้น แล้ว เหนอ
...(.หญิง.)
แต๋ม เก๊าเนิ้ง กิ่งมันบ่ถอน....
บ่ไหวคลอนเฟือนเตี่ยงมันแต้เล่า
ต๋ามกำลม เปิ้นปัดออกเข้า
มีแต่เก๊า ไหวหวั่นคลอนเฟือน
กิ่งมันแต้ บ่แซสะเหลือน
บ่เหมือนลมเจย
ลำเพย ก่จะนั้น....
ใจ๋คำญิง นี้หนิมเตี่ยงมั่น
บ่เป๋นหองเปิ้น..คนใด
ยังเป๋นกระจก แว่นแก้วเงาใส
บ่ไหวคลอนเงี่ยง จาย เหนอ
...(.ชาย..)
ตั๋ว ปี้น้อยจักขอถาม....
ต๋าม กำลมเปิ้นมาเล่าอู้
ว่านายมีจู้ อยู่บ้านวังสิงห์คำ
ฝ่ายตางปู้นเปิ้นมาใส่ผะจ๋ำ
บ้านวังสิงห์คำ เปิ้นมาหมั้นก่ไว้แล้ว....
ตางฝ่ายปั๋นตั๋ว น้องนางแว่นแก้ว
ก่ตกลงแล้ว บ่ไจ่กาหา
เปิ้นจะกินแขก แต่งก๋านก่วิวาห์
เมื่อใดจา ปี้น้อยไคร่ฮู้เก้า....
ส่วนไจยาบ่สมเปิงเจ้า
เพราะเขียมเข้าของ..เงินทอง
ฝ่ายตางนาย บ่หมายเกี่ยวข้อง
มาละหมองต่ำ ก้อย เหนอ
...(.หญิง.)
ตั๋ว น้องนี้บ่ลาไหลหลง....
ก๋านตกลงก่ยังบ่แล้ว
จึงเจิญตั๋วปี้มาห้วยแก้ว
เพราะใคร่ฮู้กำฟู่กำจ๋า
จึงเจิญน้อย ปี้มาเปิกษา
จะว่าใดจา ตั๋วน้องก่ไคร่ฮู้....
ก๋านตี้มาฟู่อู้
จะเอาเป็นจู้กาว่าเอาเป๋นเมีย
หรือจักลบล้างลืมลายหน่ายเสีย
บ่เอาเป๋นเมีย
หรือจักทิ้ง เสียแล้ว....
หรือเอาเป๋น เมียนางจ้างแก้ว
อยู่เป๋นกู้ ข้างเตียมคิง
ขอบอกนายหื้อแน่ใจ๋จริง
บ่อำพรางนาถ น้อง เหนอ
...(..ชาย.)
บ่จุ๊หรอกน้อง หื้อหม่นหมองหมาง..
บ่ล่อลวงพรางแม่นางฮ้างแค้ว
ปี้หมายเอาเป๋นเมียนางจ้างแก้ว
บ่หื้อคลาดแคล้วเรื่องกำสีเนห์
หลอนแก้วน้องใจยังบ่เหว
เตี่ยงสมคะเน เหมือนปี้กึ๊ดเล่า....
หลอนปี้จุ๊ก็ยังล่ายเจ้า
ขอหื้อฟ้าผ่าหัวแม่เมียตาย
ลูกแม่ญิง อู้เล่นก่บ่ดาย
ลูกป้อจาย อู้แต้ก่บ่ปัง....
หลอนนายต๋ายไปเป๋นไก่ตั้ง
ปี้น้อยจักต๋ายเป็นพื้น
ฟู่บ่ถูก วันฟูกก่บ่ขืน
ฟู่ม่าคืนตึงบ่ขืนเมื่อจ้าว....
ก๋านฮักกั๋นหองข้าตึงเจ้า
เผียบเหมือนเหล้า..กับปาง
ปากกำไดปี้ก็ตึงอ้าง
บ่ไจ่จางจาก น้อง เหนอ
...(.หญิง.)
หลอน ว่าแต้เหมือนดั่งกำจา....
น้องขอสัญญากับตั๋วปี้น้อย
บ่ขอฮักไผ ซักเต้ากึ่งก้อย
ขอฮักปี้น้อย ไจยานี้ก่คนเดียว
คนอื่นนับร้อยตึงบ่แลบ่เหลียว
จะขอฮักเดียวจายเดียวก่เต้านี้....
หลอนว่าน้องจุ๊หรือสัปปะรี้
ขอหื้อฟ้าผ่าหัวพ่อผัวต๋าย
ลูกแม่ญิงบ่ไจ่ว่าบ่ดาย
ลูกป้อจายขี้จุ๊ก่แต้ๆ....
กิ๋นก่ยังตึงแก้ สะเรียมยำใส่แย้
บะเขือแจ้ยำใส่เตา
หลอนปี้น้อยไจยาฮักแต้ข้าเจ้า
ก็ยินดีจิ่ม แต้ เหนอ.


จากเนื้อเพลง และที่กล่าวว่าทั้งสองนัดหมายมาพบกัน
แต่ช่วงที่พูดจากันนั้น เป็นการตัดพ้อต่อว่า น้อยใจ และใช้สำนวนเปรียบเปรยในเรื่องต่างๆ มากมาย (บางสำนวนเปรียบเปรย รู้ไม่ซึ้งพอ เกินกว่าที่จะมาเขียนบรรยายให้อ่านกันได้)

ดอกพิกุล ก่คือดอกแก้ว
ไปเป๋นหองเปิ้น แล้ว เหนอ

"ดอกแก้วดอกนี้จะไปเป็นของคนอื่นเสียแล้ว…"



แต๋ม เก๊าเนิ้ง กิ่งมันบ่ถอน....
บ่ไหวคลอนเฟือนเตี่ยงมันแต้เล่า
ต๋ามกำลม เปิ้นปัดออกเข้า
มีแต่เก๊า ไหวหวั่นคลอนเฟือน
กิ่งมันแต้ บ่แซสะเหลือน
บ่เหมือนลมเจย
ลำเพย ก่จะนั้น....
ใจ๋คำญิง นี้หนิมเตี่ยงมั่น
บ่เป๋นหองเปิ้น..คนใด
ยังเป๋นกระจก แว่นแก้วเงาใส
บ่ไหวคลอนเงี่ยง จาย เหนอ

แว่นแก้วตอบว่า
ถึงต้นจะเอนเอง กิ่งไม่ยอมถอน ไม่ไหวโยกคลอน
ตามคำลม คำพูดของคนอื่น มีแต่ทำให้ต้นไหวหวั่นโยกคลอน
กิ่งยังคงมั่นคง ไม่คล้อยตาม ไม่เหมือนลมพัดรำเพย ก็ตามไป
ใจของหญิง(แว่นแก้ว) นี้นิ่ง หนักแน่น คงมั่น ไม่เป็นของคนอื่น คนใด
ยังเป็นกระจก แว่นแก้วเงาใส ไม่ไหวคลอนเอียงตามชายอื่น




แว่นแก้วก็พูดกลับไปว่า
"รักตนจริงหรือว่าแค่หยอกเล่นกันแน่"

น้อยไจยาตอบว่า
"รักจริงแท้แน่นอน หมายจะเอามาเป็นเมียแพงแนบข้าง"

แว่นแก้วตอบว่า
"หากพ่อแม่ไม่เห็นแก่ความรักครั้งนี้ ก็จะหนีตามน้อยไจยาไป"






ในขณะที่น้อยไจยา กับ แว่นแก้ว กำลังพูดคุย ตัดพ้อต่อว่ากันอยู่นั้น


ฝ่ายลูกน้องของส่างนันตา ได้ตามมาจับบัวเกี๋ยง(ที่ยืนเฝ้าดูการพูดคุยอยู่ห่างๆ) ไป



จากนั้น ส่างนันตากับพรรคพวก ก็ออกมารุมล้อมทั้ง 2 คน


ส่างนันตา ได้กล่าวหาว่าน้อยไจยาคบชู้
พร้อมกล่าวหาแว่นแก้วประพฤติตัวไม่เหมาะสม


ส่างนันตา ต่อว่าแว่นแก้วว่า
ตนเองได้หมั้นหมายกันไว้แล้ว มาคบชู้เยี่ยงนี้ได้อย่างไร
จะขอจับตัวไป เพื่อไปฟ้องพ่อท้าวไชลังกา และอาจถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล

ส่างนันตา ได้จับตัวทั้งสองไป และเตรียมนำส่งเจ้าเมืองเพื่อดำเนินการคดีฟ้องร้องต่อเจ้าเมือง





ตัดกลับมาภายในเมือง









เจ้าเมืองได้เตรียมออกว่าความ
















มีการแจ้งเบิกคดีที่ส่างนันตาฟัองร้องกล่าวหา
น้อยไจยาเป็นชู้ และ แว่นแก้วประพฤติตัวไม่เหมาะสม





ส่างนันตา เล่าความต่อเจ้าเมือง เพื่อให้พิจารณาในคดีนี้ พร้อมกล่าวโทษของน้อยไจยาและแว่นแก้ว







น้อยใจยา ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของส่างนันตา ต่อเจ้าเมือง
และเล่าความว่า ตนกับแว่นแก้ว นัดหมายกันที่น้ำตกห้วยแก้ว
เพื่อตกลงและสอบถามเรื่องที่ได้ยินมาว่าแว่นแก้วมีการหมั้นหมายกับส่างนันตาจริงหรือ


แว่นแก้ว เล่าความว่าตนไปพบกับน้อยไจยาที่น้ำตก และไม่ได้ประพฤติผิด ไม่เหมาะสมกับข้อหากล่าวหาของส่างนันตา
และตนก็ไม่ได้ไปพบกับน้อยไจยา สองต่อสอง
ตนได้ไปพร้อมกับบัวเกี๋ยง แต่ไม่ทราบว่าบัวเกี๋ยงได้หายไปไหน
จนป่านนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร



ส่างนันตา ฟังการเล่าความของทั้งสอง
และก็แจ้งเล่าความต่อเจ้าเมืองว่าทั้งสองพูดจาโกหก




หลังจากที่เจ้าเมืองได้รับฟังคำชี้แจงและข้อกล่าวหา
และเนื่องจากไม่มีหลักฐานใดมาชี้ชัด
เจ้าเมืองได้ตัดสินให้น้อยไจยาถูกจำคุกเพื่อลงโทษ และขับไล่ออกจากเมืองไป
ส่วนแว่นแก้ว เพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมเสีย ให้รีบแต่งงานกับส่างนันตาโดยเร็ว






แว่นแก้วได้รับฟังบทลงโทษ แล้วก็ร่ำไห้ที่จะต้องสูญเสียชายคนรัก พร้อมกับบทลงโทษที่ไม่เป็นธรรม




ยังไม่ทันที่จะเลิกพิจารณาคดี




บัวเกี๋ยงได้วิ่งเข้ามาในศาล


และรีบแจ้งต่อเจ้าเมืองว่า ตนเองได้ไปพร้อมกับแว่นแก้ว
แต่ถูกลูกน้องของส่างนันตา จับตัวไป


เจ้าเมืองได้รับฟัง แล้วก็สอบถามส่างนันตา
ว่าเป็นเรื่องจริงดังที่บัวเกี๋ยงกล่าวหาหรือไม่



ส่างนันตาปฏิเสธข้อกล่าวหา ไม่ได้ส่งลูกน้องไปจับตัวบัวเกี๋ยง



บัวเกี๋ยง จึงได้ส่งตัวลูกน้องของส่างนันตา ให้กับเจ้าเมือง
และทำให้ส่างนันตา จนมุมต่อหลักฐาน
จึงคิดต่อสู้



และเกิดต่อสู้กัน





พรรคพวกของส่างนันตา สู้ไม่ได้



และุถูกฆ่าตายจนหมด

ส่วนส่างนันตา สามารถหลบหนีไปได้




เจ้าเมืองจึงได้ว่าความใหม่อีกครั้งหนึ่ง



น้อยไจยา และ แว่นแก้ว ไม่ได้ประพฤติผิด หรือ ทำให้จารีตประเพณีอันดีงามของล้านนาได้เสียไปไม่ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะส่างนันตาคิดร้ายต่อน้อยไจยา และเมื่อเป็นไปตามนี้พิจารณาคดีให้แว่นแก้วสามารถเลือกตัดสินใจหมั้นหมายแต่งงานได้ด้วยตนเอง



ผลพิจารณาคดีทำให้ทั้งสองพ้นผิด และดีใจที่ได้รับอิสระทั้งกายและใจ
และได้ตกลงแต่งงานกัน





ต่อมาน้อยไจยา ได้ชวนแว่นแก้วไปเที่ยวที่น้ำตกห้วยแก้วอีกครั้งหนึ่ง





ทั้งสองได้เที่ยวชม และชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามของน้ำตกห้วยแก้ว อย่างมีความสุข ตามประสาหนุ่มสาวที่กำลังมีความรัก




โดยที่ไม่รู้เลยว่าอันตรายกำลังจะมาถึงตัว


ส่างนันตา หลังจากที่ได้หลบหนีไปครั้งก่อนนั้น
ยังมีแรงพยาบาท ที่คิดจะลอบทำร้ายต่อน้อยไจยาและแว่นแก้วอยู่
จนมาประจวบเหมาะที่ทั้งสองมาเที่ยวน้ำตกห้วยแก้ว และส่างนันตาได้ทราบว่าทั้งคู่มาอยู่ที่น้ำตกห้วยแก้ว



ส่างนันตาจึงได้ตามมาพร้อมปืนเพื่อที่จะลอบทำร้ายต่อน้อยไจยา



เมื่อส่างนันตามาเจอทั้งน้อยไจยาและแว่นแก้วอยู่ด้วยกัน พลอดรักกันที่น้ำตกห้วยแก้ว
ส่างนันตาขึ้นไกนกปืน



และเล็งยิงไปที่ร่างทั้งสองที่ยืนกอดกันอยู่นั้น



พลันน้อยไจยาได้ยินเสียงขึ้นไกนกปืน
น้อยไจยาได้หมุนร่างตัวเองมารับกระสุนปืน และล้มลงทันที



ส่างตุ้ย พี่เลี้ยงของน้อยไจยา วิ่งเข้ามาดูร่างของน้อยไจยาที่ถูกยิงล้มลง




ส่างตุ้ยออกไปต่อสู้กับส่างนันตา






และส่างนันตาก็ถูกส่างตุ้ยฟันเข้าที่ท้อง


ส่างนันตาสิ้นใจตาย



ส่วนน้อยไจยาก็สิ้นใจตายที่น้ำตกห้วยแก้วนั้นเอง




จบการแสดงพร้อมภาพถ่ายละครพื้นบ้านล้านนา เรื่องน้อยไจยา ไว้เพียงเท่านี้ หากว่าการเล่าเรื่องหรือเนื้อเรื่องผิดเพี้ยนไปบ้าง ก็ขออภัยไว้ด้วย
ถอดเสียงจากที่บันทึกด้วยโทรศัพท์ืมือถือ แต่เสียงที่อัดมาค่อยไปหน่อย ฟังได้ความบ้าง ไม่ได้ความบ้าง





ขอขอบคุณนักแสดงทุกๆ คนที่ร่วมเล่นร่วมแสดงละครพื้นบ้านน้อยไจยานี้ กันอย่างสนุกสนาน




ขอขอบคุณผู้จัดงานวันช้างไทย และจัดงานวันช้างไทยสำเร็จไปด้วยอย่างดี

ขอบคุณทุกๆ ท่านที่แวะมาชมภาพถ่าย set นี้ด้วยครับ


*** คุยกันท้าย blog

ภาพถ่าย set นี้ใช้เลนส์ Sigma 75-200 mm. F2.8 ถ่ายภาพทั้งหมด
ที่จริงก็คงไม่ต้องถึงกับเลนส์ไวแสงตัวนี้มาถ่ายภาพงานแสดงกลางแจ้งเช่นนี้
แต่เนื่องจากสถานที่แสดงกับจุดที่ถ่ายภาพค่อนข้างไกลในตอนแรก แต่การแสดงก็ปรับเปลี่ยนไปมาเพราะเป็นลานกว้าง นักแสดงยังมาแสดงใกล้เกินกว่าที่ควรไว้ด้วย จนอยากได้เลนส์สารพัดนึกสักตัว แต่ก็ไม่เห็นมีค่ายไหนทำมาให้อยากซื้อเลย สงสัยมีแววว่าต่อไปคงได้พกกล้อง 2 ตัว 2 เลนส์ซะแล้ว


และสุดท้าย
เนื่องจากอยากนำภาพทั้งหมดมาแสดงให้ชมกันจนจบการแสดง และรู้ดีว่าจะมีภาพถ่ายเยอะๆ มากๆ หากว่าทำให้ชม blog ได้ช้า ต้องขออภัยไว้ด้วย
ภาพถ่าย set นี้ ได้ลองลดขนาดไฟล์ลงจากเดิมๆ ไว้มากพอสมควรแล้วเช่นกัน หวังว่าคงน่าจะพอเปิดชมกันได้นะครับ



**** Link ที่เกี่ยวข้อง
งานวันช้างไทย 13 มีนาคม 2553 : ปางช้างแม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
Create Date :15 มีนาคม 2553 Last Update :16 มีนาคม 2553 14:07:32 น. Counter : Pageviews. Comments :27