แต่คดีสหกรณ์เพิ่งเกิดเมื่อปี 2559

ระยะเวลาห่างกัน 46 ปี

คดีนี้ วัดอยู่ในฐานะผู้รับบริจาคเงินอย่างเปิดเผย

โดยไม่รู้ที่มาของเงิน และไม่ได้นำเงินไปใช้เล่นหุ้นหรือทำกิจการใดๆ ที่นอกเหนือจากการก่อสร้างวัดตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค

วัดจึงไม่ได้มีความผิดอะไร อีกทั้งไม่ได้เป็นหนี้สหกรณ์

ไม่ได้ยักยอกเงินสหกรณ์ ไม่ได้ฟอกเงินสหกรณ์

และวัดกับสหกรณ์ก็ไม่ใช่คู่กรณีบนชั้นศาล ไม่มีพันธะใดๆ ทางกฎหมายที่ก่อความเสียหายแก่กัน

แต่ปรากฏว่า วัดกำลังจะถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดทุกตารางนิ้ว ยึดทุกบาททุกสตางค์ และที่สำคัญเป็นการยึดทรัพย์ย้อนหลังถึง 49 ปี ยึดย้อนหลังตั้งแต่ดินก้อนแรก เงินบริจาคก้อนแรก 3,200 บาท จนถึงเงินบริจาคก้อนปัจจุบันในปี 2562 นี้เลยทีเดียว

1. การยึดทรัพย์ในคดีที่เจ้าทุกข์ถอนฟ้องจากศาลแล้ว เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐทำได้หรือไม่

2. การยึดทรัพย์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี และเป็นทรัพย์ที่เกิดจากการบริจาคของประชาชนตั้งแต่การขุดดินก้อนแรกสร้างวัดในปี 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐทำได้หรือไม่

3. การยึดทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่ามูลหนี้ในคดี เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐทำได้หรือไม่

4. การยึดทรัพย์ย้อนหลังก่อนคดีเกิดถึง 46 ปี เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐทำได้หรือไม่

5. เจ้าหน้าที่รัฐอ้างอำนาจรัฐข้อใดในการยึดทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย และการกระทำดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานแห่งการใช้กฎหมายที่ต้องประกอบด้วยนิติรัฐและนิติธรรมหรือไม่

6. ถ้าหากการยึดทรัพย์ดังกล่าวทำได้โดยไม่ต้องสนใจความถูกต้องแห่งนิติรัฐและนิติธรรม ก็แสดงว่านี่คือบรรทัดฐานใหม่ในการใช้กฎหมาย เพียงแค่ตั้งข้อหาขึ้นมา ก็สามารถยึดทรัพย์ของประชาชนทุกคนในประเทศนี้ ย้อนหลังได้เกือบครึ่งศตวรรษ โดยทรัพย์นั้นไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับคดี และมากกว่ามูลหนี้ในคดีนั้นเท่าไรก็ได้ตามใจชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ใช่หรือไม่

*

ประเทศใดก็ตาม หากหวังความสงบแห่งรัฐ แต่ถ้ายังไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมในนิติรัฐและนิติธรรมในการบริหารปกครองประเทศขึ้นมาได้ ต่อให้เปลี่ยนผู้นำอีกกี่ครั้ง เลือกตั้งอีกกี่หน ประชาชนก็ต้องอยู่อย่างกล้ำกลืนฝืนทน เพราะการบังคับใช้กฎหมายโดยปราศจากหลักนิติรัฐและนิติธรรมของผู้มีอำนาจในประเทศนั้นอยู่เช่นเดิม

---------------------------------

1 กุมภาพันธ์ 2562

15.42 

เรื่องนี้ใช่ว่าจบลงง่ายๆ... อย่ากระพริบตา